บางยี่ห้อ กรณีแบบนี้อาจอยู่ในประกัน ต้องลองอ่านคู่มือหรือสอบถามยี่ห้อที่คุณซื้อดู [6] ถ้าทำยังไงก็ไม่หายอับ เป็นไปได้ว่าท่อตันหรือไม่ได้ล้างไส้กรอง รวมถึงอาจมีราขึ้นที่หลังถังซักผ้า ถ้าให้ช่างผู้เชี่ยวชาญดู จะบอกได้ทันทีว่าเป็นเพราะอะไร มีปัญหาอื่นที่น่าเป็นห่วงกว่าหรือเปล่า รวมถึงแนะนำวิธีการแก้ไขให้ ถ้าคุณพอมีความรู้ ก็น่าจะล้างทำความสะอาดท่อและไส้กรองได้เอง ปกติจะอยู่ในช่องเล็กๆ ที่ฐานด้านหน้าของเครื่องซักผ้า ตอนล้างอย่าลืมเตรียมถังไว้ใส่น้ำเน่าน้ำขังด้วย เลือกใช้น้ำยาซักผ้าให้เหมาะสม. ถ้าเป็นเครื่องซักผ้า High Efficiency (HE) แบบใช้น้ำน้อย ก็ต้องใช้น้ำยาซักผ้าเฉพาะ [7] เพราะถ้าใช้น้ำยาซักผ้าปกติฟองจะเยอะไป และทิ้งคราบไว้จนเกิดกลิ่น อย่าใส่น้ำยาซักผ้าเยอะไป เพราะอาจตกค้างในเครื่องซักผ้าได้ ส่วนใหญ่ผงซักฟอกจะดีกว่าน้ำยาซักผ้า เพราะฟองน้อยกว่า [8] อย่าใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม. ให้ใช้ dryer sheet หรือแผ่นหอมๆ ที่เอาไว้ใส่ตอนอบผ้าในเครื่องแทน น้ำยาปรับผ้านุ่มก็เหมือนน้ำยาซักผ้า คือมักเกิดคราบตกค้าง สะสมในเครื่องซักผ้า นานๆ เข้าก็ก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ใช้ dryer sheet แทน เดี๋ยวนี้เมืองไทยก็มีขาย ไม่ได้แพงอย่างที่คิด อยู่แผนกเดียวกับน้ำยาซักผ้านั่นแหละ เปิดประตูผึ่งลมหลังซักผ้าเสร็จ.
เหตุเกิดก็ตอนที่เราเริ่มได้กลิ่นเหม็นอับในเครื่องซักผ้า เราเลยโทรถามที่ศูนย์ เค้าบอกมาจากเครื่องซักผ้าเริ่มสกปรก มีเชื้อโรคอยู่เยอะเลยทำให้ในถังมีกลิ่นอับ ควรทำความสะอาดปีละครั้ง เพื่อนๆมีใครเคยให้ช่างมาถอดล้างทำความสะอาดเครื่องกันบ้างมั้ย แสดงความคิดเห็น
ถ้าบ้านคุณใช้เครื่องซักผ้าฝาหน้า จะสังเกตว่านานๆ ไปมีกลิ่นอับจากเชื้อรา จนทำเอาเสื้อผ้าไม่หอมสดชื่น นั่นเพราะเครื่องซักผ้าฝาหน้ามีหลายส่วนที่แห้งยาก ซักเสร็จไปนานแล้วบางทีก็ยังเปียกอยู่ มีหลายผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าได้ แต่ก็ควรใช้ผ้าเช็ดให้แห้งสะอาดร่วมด้วย บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการกำจัดและป้องกันกลิ่นอับจากเชื้อราในเครื่องซักผ้าฝาหน้าให้คุณเอง 1 ทำความสะอาดขอบยาง.
5 ทริคคืนความหอมให้ผ้า บอกลาปัญหากลิ่นอับช่วงหน้าฝน ช่วงหน้าฝนทีไร การซักผ้าก็กลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที เพราะฝนที่กระหน่ำไม่เลือกเวลาทำให้ผ้าแห้งช้า แถมยังมีกลิ่นอับ ไม่หอมสดชื่น ใส่แล้วขาดความมั่นใจ จะแก้ปัญหาผ้าเหม็นอับอย่างไรดี เรามีเคล็ดลับมาฝาก เคล็ดลับการซักผ้าให้สะอาดและลดกลิ่นอับ 1. ปริมาณผ้าที่ซักควรกะให้พอดีกับความจุของเครื่องซักผ้า การซักผ้าครั้งละมาก ๆ จนเกินความจุของเครื่อง อาจทำให้น้ำยาซักผ้าเข้าไปทำความสะอาดขจัดสิ่งสกปรกได้ไม่ทั่วถึง และน้ำยาปรับผ้านุ่มแทรกซึมไม่ถึงผ้าทุกชิ้น อาจทำให้ผ้ามีกลิ่นอับ ดังนั้นจึงควรเลือกเครื่องซักผ้าที่มีปริมาณความจุเหมาะสมกับจำนวนสมาชิกในครอบครัว อย่างเช่น หากอยู่คนเดียวอาจเลือกเครื่องซักผ้าที่มีความจุ 6 – 10 กิโลกรัม แต่ถ้าอยู่เป็นครอบครัวเล็ก ๆ พ่อแม่ลูก อาจเลือกความจุ 11 – 15 กิโลกรัม เป็นต้น 2.
ซักใหม่ หากเสื้อผ้ามีกลิ่นอับรุนแรงเกินเยียวยา ก็ไม่ควรฝืนใส่ แต่ให้นำไปซักใหม่โดยแยกใส่ตะกร้าเอาไว้เพื่อซักต่างหาก ด้วย 4 วิธีข้างต้นที่แนะนำไป แต่ถ้าใครพอจะมีทุนทรัพย์ "เครื่องอบผ้า" ก็ตอบโจทย์เช่นกัน เพราะคุณสมบัติของเครื่องอบผ้าจะช่วยอบเสื้อผ้าให้แห้งพร้อมใส่ได้ทันที ถ้าอากาศชื้นมาก ๆ ก็ยังช่วยลดเวลาในการตากแดดไปได้มาก รับรองว่ากลิ่นกวนใจเหล่านี้จะหมดไปแน่นอน
บางรุ่นก็ถอดออกมาจากเครื่องซักผ้าได้เลย ล้างสะดวก [4] คราบน้ำยาซักผ้ากับน้ำเน่าขังก็เป็นอีกสาเหตุทำถาดมีกลิ่นอับ ถอดถาดใส่น้ำยาออกมาล้างให้สะอาด โดยใช้น้ำร้อนผสมน้ำยาล้างจาน ถ้าถอดถาดไม่ได้ ก็ให้เช็ดหรือล้างด้วยน้ำผสมน้ำยาล้างจาน ซอกมุมไหนเข้าถึงยาก ให้ใช้ขวดสเปรย์ฉีดหรือลวดล้างท่อ 3 เปิด cleaning cycle ล้างเครื่องซักผ้า.
เปิดฝาเครื่อง เพื่อให้อากาศถ่ายเทบ้างป้องกันความอับชื้น เชื้อรา และแบคทีเรีย นอกจากฝาเครื่องแล้ว ตามช่องใส่น้ำยาต่าง ๆ ก็ควรเปิดให้อากาศถ่ายเทเข้าไปได้บ้างหลังการใช้งาน 5. ตรวจเช็คท่อระบายน้ำทิ้ง หากทำตามขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว และพบว่ายังมีกลิ่นอยู่ ลองทำความสะอาด หรือหากมีความสกปรกมากหรือพบว่าชำรุดเสียหายก็ต้องเปลี่ยนใหม่
เครื่องซักผ้านั้น เมื่อเราใช้เป็นเวลานาน ก็มักจะมีกลิ่นอับชื้นติดอยู่ แถมเมื่อเราเอาผ้าไปซัก กลิ่นนั้นก็ติดเสื้อผ้าของเรามาอีกด้วย แทนที่เราจะได้ใช้เครื่องซักผ้าเพื่อการกำจัดคราบสกปรก และกำจัดกลิ่น กลับได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์กลับมา หากใครมีปัญหานี้ มาดูวิธีแก้ไขปัญหากลิ่นในเครื่องซักผ้ากันอย่างง่าย ๆ ด้วย 5 ขั้นตอนต่อไปนี้ 1. โดยปกติแล้ว เราใช้น้ำในอุณภูมิปกติซักผ้า ไม่ร้อน และไม่เย็น การซักด้วยอุณภูมิปกตินี้ ทำให้เราประหยัดค่าไฟฟ้าได้ อีกทั้งยังไม่ทำลายสภาพแวดล้อม แต่การซักผ้าด้วยน้ำธรรมดานี้ ไม่สามารถขจัดเชื้อรา และเชื้อแบคทีเรียออกจากเครื่องซักผ้าของเราได้ ดังนั้น เราต้องมีวิธีจัดการปัญหานี้ ด้วยการเปิดเครื่องให้ทำงานด้วยน้ำร้อน โดยไม่ต้องใส่เสื้อผ้าลงไปซัก อย่างน้อยเดือนละครั้ง 2. ปิดเครื่อง หลังการทำความสะอาดเครื่องด้วยน้ำร้อนแล้ว ให้ปิดเครื่อง ถอดปลั๊กออก เพื่อพัก ก่อนที่จะเปิดขึ้นมาใช้งานอีกในครั้งต่อไป 3. ทำความสะอาดส่วนที่เป็นยางซีลกันน้ำ ช่องเปิด-ปิดต่าง ๆ รวมทั้งตัวกรอง เพราะเชื้อราและแบคทีเรียสามารถที่จะเติบโตได้อย่างรวดเร็วที่บริเวณยางซีลกันน้ำ และตามรูระบายน้ำต่าง ๆ หลังการใช้เครื่อง ต้องขัดทำความสะอาดในจุดเหล่านี้ หากทำเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการก่อตัวของเชื้อราและแบคทีเรียได้ หากปล่อยไว้นาน จะไม่สามารถขัดออกได้ และจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ นอกจากนี้ เชื้อราและแบคทีเรีย มีแนวโน้มที่จะก่อตัวบริเวณช่องใส่ผงซักฟอก และตัวกรองอีกด้วย 4.
sharebooklib.com, 2024