Sportswear International. 16 กันยายน 2014 สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2559. ^ Lara O'Reilly (22 กรกฎาคม 2015) "Keds ต้องการ Taylor Swift ที่จะเปลี่ยนรองเท้าผ้าใบของมันเป็นไอคอนสตรีนิยม" ภายในธุรกิจ สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2559. ^ ก ข Rhonda Schaffler (9 กุมภาพันธ์ 2016). "Keds ประธานเกี่ยวกับวิธีการเก็บเก่ายี่ห้อ 100 ปีบนเท้าของมัน" เดอะสตรีท. สืบค้นเมื่อ 2 พฤษภาคม 2559. ^ Gina Marinelli (12 กุมภาพันธ์ 2559). "Ciara Sang At A 100th Birthday Party สัปดาห์นี้". โรงกลั่น 29. ^ "Loomstate ทำให้ Keds เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม". 12 มิถุนายน 2009 สืบค้นเมื่อ 3 พฤษภาคม 2559. ^ "Teenage dirtbag lyrics Wheatus". สืบค้นเมื่อ 18 มิถุนายน 2559. ลิงก์ภายนอก เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ Keds Studio เค็ดส์กรีน Keds Kids Keds
Keds เป็นอเมริกัน แบรนด์ ของรองเท้าผ้าใบที่มีพื้นรองเท้ายาง ก่อตั้งขึ้นในปี 1916 [1] บริษัท เป็นเจ้าของโดย Wolverine World Wide [2] การออกแบบรองเท้าแบบดั้งเดิม Champion เป็น "รองเท้าผ้าใบ" รุ่นแรกที่วางตลาดทั่วไป [3] Keds ประเภท บริษัท ย่อย อุตสาหกรรม ชุดกีฬา และ สินค้ากีฬา ก่อตั้งขึ้น พ. ศ. 2459; 105 ปีที่แล้ว สำนักงานใหญ่ วอลแทมแมสซาชูเซตส์, สหรัฐ พื้นที่ให้บริการ ทั่วโลก คนสำคัญ Gillian Meek ประธาน Blake Kruger ซีอีโอของ Wolverine World Wide ผลิตภัณฑ์ รองเท้า ผู้ปกครอง วูล์ฟเวอรีนเวิลด์ไวด์ เว็บไซต์ www. keds ประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ รองเท้าผ้าใบ Keds Champion สำหรับผู้หญิงปี 1916 ในปีพ. 2459 US Rubber ได้ รวมชื่อแบรนด์รองเท้า 30 แบรนด์เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง บริษัท เดียว ในขั้นต้นชื่อแบรนด์ "Peds" ได้รับเลือกให้กับ บริษัท จากคำ ภาษาละติน สำหรับฟุต แต่ชื่อดังกล่าวเป็นเครื่องหมายการค้าของ บริษัท แล้ว Keds ก่อตั้งขึ้นในปี พ. 2459 และถูกซื้อกิจการโดย Stride Rite Corporation ใน เวลาต่อมา [4] [5] เนื่องจากรองเท้ามีพื้นยางที่อ่อนนุ่มพวกเขาจึงกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ รองเท้าผ้าใบ เนื่องจากพื้นยางอนุญาตให้ "แอบดูอย่างเงียบ ๆ " ได้ [6] [7] [8] ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1920 รองเท้าดังกล่าวถูกสวมใส่โดยนักกีฬาฟุตบอลโอลิมปิกแชมป์เทนนิสระดับชาติและระดับนานาชาติและนักกีฬาระดับวิทยาลัย [9] ในปีพ.
ทำลายสมรรถภาพทางกาย ผู้เสพกัญชาในปริมาณมาก เป็นระยะเวลานานๆ จะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม จนไม่สามารถประกอบกิจการงานใดๆ ได้ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้แรงงาน ความคิด และการตัดสินใจ รวมทั้งจะมีลักษณะ Amotivation Syndrome คือ การหมดแรงจูงใจของชีวิต จะไม่คิดทำอะไรเลย อยากอยู่เฉยๆ ไปวันๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานเป็นอย่างมาก 2. ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การเสพติดกัญชามีผลร้ายคล้ายกับการติดเชื้อเอดส์ (HIV) กล่าวคือ กัญชาจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานเสื่อมลงหรือบกพร่อง ร่างกายจะอ่อนแอและติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่าย 3. ทำลายสมอง การเสพกัญชาแม้เพียงในระยะสั้น ทำให้ผู้เสพบางรายสูญเสียความทรงจำ เพราะฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสน วิตกกังวล และหากผู้เสพเป็นผู้มีอาการของโรคจิตเภท หรือป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีความเสี่ยง ที่จะเกิดอาการรุนแรงมากกว่าคนปกติทั่วไป 4. ทำให้เกิดมะเร็งปอด เนื่องจากผู้เสพจะอัดควันกัญชาเข้าไปในปอดลึกนาน หลายวินาที การสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชาเพียง 4 มวน ซึ่งเท่ากับการสูบบุหรี่ 1 ซอง หรือ 20 มวน นั้นสามารถทำลายการทำงานของระบบ ทางเดินหายใจทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิด โรคมะเร็งได้มากกว่าคนสูบบุหรี่ธรรมดาถึง 5 เท่า และในกัญชายังมีสารเคมีที่เป็นอันตราย สามารถให้เกิดโรคมะเร็งได้ 5.
ครูถามนักเรียนว่าอวัยวะภายนอกมีอะไรบ้าง และมีหน้าที่อะไร ให้นักเรียนช่วยกันตอบ 2. ให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นว่า การขาดอวัยวะเหล่านี้จะเกิดผลเสียต่อตนเองอย่างไร แล้วนักเรียนร่วมกันสรุปว่า อวัยวะทุกอวัยวะมีความสำคัญ ดังนั้นเราต้องดูแลอวัยวะเหล่านั้นให้มีสภาพดี 3. ครูซักถามนักเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของนักเรียนเมื่ออวัยวะมีอาการผิดปกติ เช่น - ถ้ารู้สึกเคืองตา นักเรียนทำอย่างไร - ถ้าน้ำเข้าหู นักเรียนทำอย่างไร - ถ้านักเรียนหายใจไม่ออก นักเรียนทำอย่างไร - ถ้ารู้สึกปวดฟัน นักเรียนทำอย่างไร แล้วให้เพื่อนช่วยกันบอกว่า สิ่งที่นักเรียนทำนั้นถูกหรือผิด พร้อมทั้งบอกเหตุผล เช่น ถ้าคันตา แล้วใช้มือขยี้ตา เป็นการกระทำที่ผิด เพราะทำให้ตาแดงและเชื้อโรคอาจเข้าไปในตา หรือถ้าน้ำเข้าหูแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ดน้ำในหู เป็นการกระทำที่ถูก เพราะทำให้หูไม่ชื้น ไม่เป็นเชื้อรา 4. แบ่งนักเรียนเป็น 8 กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มเลือกอวัยวะตามที่เรียนมา แล้วให้แต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายว่า "เราจะดูแลอวัยวะตามที่กลุ่มของตนเลือกได้อย่างไร" 5. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมารายงานผลการอภิปราย ที่เป็นข้อสรุปของกลุ่มตนเอง จากนั้นครูและนักเรียนช่วยกันสรุปวิธีการดูแลรักษาอวัยวะภายนอกที่สำคัญ 6.
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษา (พ 11101) ช่วงชั้นที่ 1 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ห น่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ร่างกายของเรา เวลา 8 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ตัวของฉัน เวลา 4 ชั่วโมง ………………………… 1. มาตรฐานการเรียนรู้ พ 1. 1 เข้าใจธรรมชาติของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ 2. ตัวชี้วัด พ 1. 1 ป 1/1 อธิบายลักษณะและหน้าที่ของอวัยวะภายนอก พ 1. 1 ป 1/2 อธิบายวิธีดูแลรักษาอวัยวะภายนอก 3. สาระสำคัญ ร่างกายของเราประกอบด้วยอวัยวะภายนอกที่สำคัญและมีหน้าที่ต่างกัน เราต้องรู้จักดูแลอวัยวะภายนอกของร่างกายเราให้ดีอยู่เสมอ 4. สาระการเรียนรู้ 1. ตา 2. หู 3. จมูก 4. ปาก 5. ผม 6. ผิวหนัง 7. นิ้วและมือ 8. ขาและเท้า 5. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. รู้และเข้าใจหน้าที่ของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย 2. สามารถดูแลรักษาอวัยวะของร่างกายตนเองได้ 6. สาระหลัก (นักเรียนต้องรู้อะไร) 1. ชื่อ ตำแหน่ง และหน้าที่ของอวัยวะภายนอกที่สำคัญ 2. การดูแลรักษาอวัยวะภายนอก 7. ทักษะ / กระบวนการ (ปฏิบัติอะไรได้) 1. ปฏิบัติตนในการดูแลรักษาอวัยวะภายนอก 8. คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 1. เห็นคุณค่าของอวัยวะภายนอก 2.
กระท่อม กระท่อม เป็นพืชเสพติดชนิดหนึ่ง ส่วนมากพบในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศอินเดีย และในประเทศไทย ลักษณะเป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีแก่นเป็นไม้เนื้อแข็ง ใช้ส่วนของใบในการเสพ ลักษณะใบคล้ายใบกระดังงา หรือใบฝรั่ง ต้นหนาทึบ ต้นกระท่อมมี 2 ชนิด คือ 1. ชนิดที่มีก้านและเส้นใบเป็นสีแดงเรื่อๆ 2. ต้นสีเขียว ใบสีเขียว ดอกกลมโตเท่าผลพุทราไทยล้มอรอบด้วยเกสรสีแดงเรื่อๆ คล้ายดอกกระถิน มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น กระทุ่มโคก กระทุ่มพาย เป็นต้น วิธีการเสพกระท่อม: 1. เคี้ยวใบดิบ 2. ใช้ใบตากแห้งแล้วนำมาบดเป็นผงรับประทานแล้วดื่มน้ำตาม 3. ใช้ใบที่บดเป็นผงชงกับน้ำร้อนแบบชาจีน ฤทธิ์ในทางเสพติด: ในใบกระท่อมมีสารไมตราจัยนิน ที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท มีอาการเสพติดทางร่างกายเล็กน้อย มีอาการเสพติดทางจิตใจ อาจมีอาการขาดยาทางร่างกาย แต่ไม่รุนแรง อาการผู้เสพ: ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทนแดด ไม่รู้สึกร้อน ทำให้ผิวหนังไหม้เกรียม มีอาการมึนงง ปากแห้ง นอนไม่หลับ ท้องผูก โทษที่ได้รับ: ร่างกายทรุดโทรม มีอาการประสาทหลอน จิตใจสับสน โทษทางกฎหมาย: กระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ. ศ.
sharebooklib.com, 2024