ขลู่ ใบของต้นขลู่มีกลิ่นหอม สามารถนำมาต้มเป็นชาขลู่ดื่มแก้ริดสีดวงทวารหนัก หรือจะใช้เปลือกต้นขลู่ต้มน้ำ ให้ไอของต้นขลู่รมทวารหนักรักษาอาการอักเสบก็ได้ นอกจากนี้ขลู่ยังเป็นยาขับปัสสาวะ แก้โรคนิ่วในไต ช่วยย่อยอาหาร และรักษาริดสีดวงจมูกได้อีกด้วย 3. ครอบฟันสี (ครอบจักรวาล) หรือหญ้าขัดหลวง สรรพคุณของครอบฟันสีนั้นครอบจักรวาลสมชื่อ หนึ่งในนั้นคือเป็นยาระบายและช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร โดยให้นำส่วนราก 150 กรัม ต้มพอเดือด คั้นเอาแต่น้ำข้น ๆ มาดื่มประมาณ 1 ถ้วยชา ที่เหลือนำไปอุ่นเพื่อให้มีไอไว้รมที่ก้นพออุ่น ๆ ทนได้ ใช้รมวันละ 5-6 ครั้ง จากนั้นล้างแผลด้วยน้ำอุ่น 4. ว่านหางจระเข้ อีกหนึ่งสรรพคุณเด็ดของ ว่านหางจระเข้ ก็คือ ช่วยรักษาริดสีดวงทวารพร้อมกับบรรเทาอาการปวด อาการคันไปในตัว วิธีใช้ก็ไม่ยาก เริ่มจากทำความสะอาดทวารหนักให้สะอาดและแห้ง ควรปฏิบัติหลังจากอุจจาระ หลังอาบน้ำ หรือก่อนนอน ปอกส่วนนอกของใบว่านหางจระเข้ แล้วเหลาให้ปลายแหลมเล็กน้อยเพื่อใช้เหน็บในช่องทวารหนัก ถ้าจะให้เหน็บง่ายควรนำไปแช่ตู้เย็นให้วุ้นว่านหางแข็งตัวพอที่จะสอดเข้าไปได้ง่ายขึ้น และควรหมั่นเหน็บวันละ 1-2 ครั้ง จนกว่าจะหาย 5. เม็ดแมงลัก เม็ดแมงลักมีสรรพคุณเป็นยาระบาย เนื่องจากบริเวณเปลือกนอกของเม็ดเป็นสารเมือกขาว และยังมีกากอาหาร ทำให้อุจจาระไม่เกาะลำไส้ ซึ่งช่วยให้ผู้รับประทานสามารถขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเม็ดแมงลักจะไปกระตุ้นประสาทที่อยู่รอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำให้เกิดปวดถ่าย แก้ปัญหาท้องผูก ถ่ายยาก นั่งนาน เสี่ยงเป็นโรคริดสีดวงทวารได้ โดยวิธีกินเม็ดแมงลักให้ตักเม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำ 1 แก้วใหญ่ ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ แล้วนำมารับประทานก่อนนอน ทานได้ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ 6.
8 เดือน ที่แล้ว ริดสีดวง หรือ โรคริดสีดวง เป็นโรคที่คงไม่มีใครอยากให้เป็นในชีวิต แต่รู้หรือไม่ครับว่ามีผู้คนจำนวนมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์นั้นเคยเป็นริดสีดวงอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต โดยมักจะพบมากในช่วงอายุ 45-65 ปีขึ้นไป แต่ก็สามารถพบได้ในคนอายุน้อยเช่นเดียวกัน เจ้าริดสีดวงนี้ นอกจากจะเป็นโรคที่สร้างความรำคาญและความไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก ยังทำให้เกิดความอายจนหลายๆคนไม่กล้าไปพบแพทย์ วันนี้ผมจึงอยากมานำเสนอการดูแลรักษาตัวเองในระหว่างที่เป็นริดสีดวงนั้นควรจะกินอะไรบ้างให้ร่างกายสมบูรณ์ที่สุด สิ่งที่ควรกินเมื่อเป็น ริดสีดวง 1. น้ำเปล่า น้ำเปล่าเป็นสิ่งที่ควรดื่มเป็นอย่างมากสำหรับคนเป็นโรคริดสีดวง อย่างน้อยที่สุดควรดื่มให้ได้วันละ 8-10 แก้วต่อวัน เจ้าน้ำเปล่านี้นอกจากจะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำแล้ว ก็จะช่วยให้อุจจาระนิ่มลงทำให้สามารถขับถ่ายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 2. ผัก-ผลไม้ ผัก - ผลไม้ นอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังมีกากใยที่ช่วยในการขับถ่ายของเรานั้นดียิ่งขึ้นและทำให้อุจจาระไม่แข็งตัว โดยควรเน้นไปที่ผักหรือผลไม้ที่มีกากใยสูงหรือช่วยในการขับถ่าย เช่น มะละกอ ที่มีไฟเบอร์สูงและมีเอนไซม์ Papain ที่ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหาร 3.
อัคคีทวาร ชื่อสมุนไพรก็บ่งบอกชัดอยู่แล้วว่าต้องมีประโยชน์เรื่องการรักษาริดสีดวงทวารแน่ ๆ ซึ่งทางการแพทย์แผนไทยนำอัคคีทวารมาใช้รักษาโรคนี้ได้หลายวิธี ทั้งนำรากหรือต้นยาว 1-2 นิ้ว ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้น ๆ แล้วนำมาทาที่ริดสีดวงทวาร หรือจะนำใบ 10-20 ใบ มาตากแห้ง บดให้เป็นผง แล้วคลุกกับน้ำผึ้งรวง ปั้นเป็นเม็ดขนาดพอเหมาะ รับประทานครั้งละ 2-4 เม็ด ทุก ๆ วันติดต่อกัน 7-10 วันก็ได้ แต่ถ้าใครสะดวกใช้ใบแห้งป่นเป็นผง โรยในถ่านไฟ เผาเอาควันรมหัวริดสีดวงที่งอกออกมาก็ตามแต่วิธีที่อยากแก้ริดสีดวงเลย 7. กระชาย เหง้าและรากของกระชายมีฤทธิ์เป็นยาแก้โรคบิด รักษาอาการถ่ายเป็นเลือด โดยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาคือช่วยลดการอักเสบที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ แต่ทั้งนี้การนำกระชายมารักษาริดสีดวงทวาร ในตำรับยาแผนไทยมักจะนำไปเป็นส่วนผสมกับสมุนไพรตัวอื่น ๆ และทำเป็นยาลูกกลอนให้รับประทานง่าย ทว่าเราก็สามารถนำกระชายสด 50 กรัม มะขามเปียก 50 กรัม มาปั่นกับเกลือป่น 10 กรัมและน้ำต้มสุก 1 ลิตร ให้ส่วนผสมทุกอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน สูตรนี้ให้ใช้ดื่มก่อนนอนครั้งละ 3/4 แก้วทุกวัน อาการริดสีดวงทวารที่เป็นอยู่จะทุเลาลงได้ 8.
เป็นโรคที่ใครก็รังเกียจและไม่อยากให้ย่างกรายเข้ามาในชีวิตกันเลยทีเดียว สำหรับโรค "ริดสีดวง" ที่สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเกิดปัญหา ท้องผูก ขึ้น เจ้าก้อนริดสีดวงนี้ก็จะออกมารับอากาศภายนอก สร้างความปวดหัวให้กับผู้ป่วยได้ระดับหนึ่งเลย ซึ่งปัจจุบันนี้มีผู้ที่เป็นโรคริดสีดวงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะวัยทำงานที่ไม่ค่อยได้ทานอาหารที่มีประโยชน์ และต้องนั่งอยู่กับที่เป็นประจำ เพราะฉะนั้น นี่คือ 5 อาหารที่คนเป็นริดสีดวงควรทาน ถ้าอยากหายเร็วที่สุด นอกจากการทายาเพียงอย่างเดียว 1. น้ำเปล่า มาเป็นอันดับ 1 เลย เพราะผู้ที่มีอาการท้องผูกนั้น ส่วนมากมักจะเกิดจากการขาดน้ำ จึงทำให้อุจจาระมีความแข็งจนไม่สามารถเบ่งออกมาได้ หากไม่อยากเป็นโรคริดสีดวงอีก ก็ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว ซึ่งน้ำจะช่วยเข้าไปทำให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น อุจจาระก็จะมีความนิ่มลงจนสามารถถ่ายได้อย่างปกติ 2. โยเกิร์ต ถ้าต้องการหาตัวช่วยเรื่องขับถ่าย ก็คงมีโยเกิร์ตติดอยู่ในอันดับแรก ๆ เนื่องจากโยเกิร์ตนั้นมีแบคทีเรียแลคโตบาซิลัสที่ดีต่อลำไส้เป็นอย่างมาก โดยแบคทีเรียชนิดนี้จะเข้าไปช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดีขึ้น และทำให้เรารู้สึกปวดท้องได้ง่ายกว่าเดิม โดยไม่ต้องพึ่งยาระบายใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายหรือมีผลข้างเคียงต่อร่างกายในระยะยาวเลย 3.
ถ่ายอุจจาระออกมาเป็นเลือดสีแดงสด 2. เจ็บที่ทวารหนัก และ ถ่ายลำบาก 3. อาจจะมีอาการคันก้น 4. หากริดสีดวงอักเสบ หรือมีติ่งเนื้อออกมาข้างนอกบริเวณปากทวารหนัก มีอาการปวดมากจนถึงกับนั่ง ยืน หรือ เดินไม่สะดวก 5. หากเลือดออกมากๆอาจจะมีภาวะซีด โลหิตจางได้ วิธีการป้องกันและรักษาโรคริดสีดวงทวาร 1. ปรับพฤติกรรมการทานอาหาร ให้ทานข้าวกล้องแทนข้าวขาว และทานผักผลไม้ และ ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ท้องผูก หากมีอาการท้องผูกต้องทานยาแก้ท้องผูกลองคลิ๊กลิงค์นี้เพื่ออ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาช่วยระบาย 2. หากมีอาการปวดมากให้กินยาแก้ปวด และนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นจัดๆผสมด่างทับทิม ประมาณ15-30 นาที และใช้แบบเหน็บProctosedyl เหน็บวันละ2-3 ครั้ง คือเวลา เช้า ก่อนนอน และ หลังถ่ายอุจจาระ จนอาการบรรเทา ปกติจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน 3. หากมีอาการคันที่ทวารหนักให้ใช้ยาทารักษาริดสีดวง เช่น Proctosedyl ทาวันละ 2-3 ครั้ง 4.
sharebooklib.com, 2024